Ballstep

ซูเคอร์แมน แห่งทัพรุกพิฆาต ทีมชาติโครเอเชีย

ซูเคอร์แมน แห่งทัพรุกพิฆาต สุดยอดดาวยิงทีมชาติโครเอเชีย ดาวอร์ ซูเคอร์ 

ซูเคอร์แมน

ซูเคอร์แมน แห่งทัพรุกพิฆาต ถ้าจะพูดถึงทีมชาติโครเอเชีย คือหนึ่งในทีมชาติที่มาตรฐานสูงของยุโรปในช่วงหลายปีหลัง

พวกเขาเป็นถึงรองแชมป์ฟุตบอลโลก2018 ผ่านเข้ารอบสุดท้ายยูโรได้ 5 สมัยติดต่อกัน แถมยังมีดาวเตะที่เคยคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ อย่าง ลูก้า โมดริช ของ เรอัลมาดดริด

แต่เมื่อย้อนไปในช่วงต้นยุค 90 ทีมชาติโครเอเชียยังไม่เคยได้เข้าร่วมฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ใหญ่มาก่อนเลยสักครั้ง เนื่องจากโครเอเชียเพิ่งประกาศเอกราชจากการเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวียในปี 1991

ทัพตราหมากรุกได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลรายการระดับเมเจอร์เป็นครั้งแรกนั้น ต้องรอจนถึง ฟุตบอลยูโร 1996 รอบคัดเลือก เป็นช่วงหลังฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกา

สำหรับทีมชาติที่เพิ่งเริ่มต้นสร้างทีมขึ้นมาใหม่นั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วยิ่งการที่จะลุ้นเข้ารอบลึกๆ ในรายการเมเจอร์ใหญ่ๆ มันจะเป็นเรื่องยากมาก แต่ช่วงปลายยุค 90 ทัพตราหมากรุกพิฆาต นั้นได้สร้างชื่อดังกระฉ่อนให้แฟนบอลทั่วโลกจดจำอย่างรวดเร็ว ด้วยการผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายยูโร 1996 และยังสร้างเซอร์ไพรส์คว้าอันดับ 3 ฟุตบอลโลกฟร้องซ์ 98 และซูเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของทัพตราหมากรุก ณ ตอนนั้นจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกไปจากสุดยอดดาวยิง ดาวอร์ ซูเคอร์ เขาเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติโครเอเชีย เมื่อยิงไปถึง 45 ประตูจากการรับใช้ชาติ 69 นัด

ดาวอร์ ซูเคอร์ เริ่มต้นเส้นทางสู่การเป็นนักเตะอาชีพ

และชัดเจนว่าจะเอาดีกับตำแหน่งศูนย์หน้า ตอนที่เข้าร่วมทีมเยาวชนของสโมสรบ้านเกิดของเขาอย่าง เอ็นเค โอซิเย็ค ด้วยวัย 16 ปี หลังจากที่เข้าขึ้นทีมชุดใหญ่ของ เอ็นเค โอซิเย็ค ในฤดูกาล 1985-86 และยังค้าแข้งที่นั่นจนถึงปี 1989 เขายิงให้สโมสรไปถึง 40 ประตูจากการลงเล่น 91 นัด เป็นสถิติที่ไม่ธรรมดา สำหรับนักเตะดาวรุ่ง

เท่านั้นไม่พอ ในศึกฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกเมื่อปี 1987 ดาวอร์ ซูเคอร์ ในวัย 19 ปีได้สร้างชื่อโดดเด่นด้วยการเป็นรองดาวซัลโวของทัวร์นาเมนต์นั้นจากผลงานซัดไปถึง 5 ประตู ทำให้ทีมชาติยูโกสลาเวียชุดเล็กนั้นคว้าแชมป์โลกมาครองได้

ปี 1989 ซูเคอร์ ที่ถูกพูดถึงในฐานะศูนย์หน้าดาวรุ่งที่น่าจับตามอง และทำให้เค้าได้ย้ายไปซบสโมสรยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง ดินาโม ซาเกร็บ ในตอนนั้นด้วย เขาได้พัฒนาผลงานการทำประตูให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เขายิงไปถึง 34 ประตูจากการลงสนามให้ “ดินาโม ซาเกร็บ” ในลีกสูงสุดยูโกสลาเวีย ทั้งหมด 60 นัด ในช่วงเวลาตลอด 2 ฤดูกาล

และจากเหตุการณ์แยกประเทศโครเอเชียออกจากยูโกสลาเวียในปี 1991 ทำให้ฟุตบอลลีกในประเทศเจอผลกระทบตามไปด้วย เพราะสโมสรจาก 2 ดินแดนที่เพิ่งเกิดสงครามนั้นไม่สามารถลงแข่งในลีกเดียวกันได้อีกต่อไป

โครเอเชียซึ่งได้แยกไปก่อตั้งประเทศใหม่ทีหลัง ต้องว่างเว้นการจัดแข่งฟุตบอลในประเทศไปนานถึง 1 ปีเต็ม และได้ก่อตั้งฟุตบอลลีกขึ้นใหม่ในปี 1992 และก็แน่นอนว่า ดาวอร์ ซูเคอร์ ที่ฟอร์มกำลังพีคสุด ตัวเขานั้นไม่สามารถหยุดเตะฟุตบอลไปเฉยๆ นานเป็นปีได้ เขาจึงเลือกที่จะย้ายไปเล่นที่ต่างแดนที่สเปนกับ เซบีย่า ในปี 1991

การย้ายไปเล่นในถิ่น “รามอน ซันเชซ ปิซฆวน” ของ เซบีย่า นี้เอง ที่ทำให้ เขามีโอกาสได้ร่วมทีมกับหนึ่งในตำนานดาวเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลกอย่าง ดีเอโก้ มาราโดน่า ที่เซ็นต์สัญญาย้ายมาร่วมทีมในฤดูกาล 1992-93

ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่ฤดูกาลเดียว แต่การได้ร่วมงานกับ มาราโดน่า มันคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เค้ายกระดับฝีเท้าให้กลายเป็นศูนย์หน้าเบอร์ต้นๆ ของยุโรป

การได้เล่นร่วมกับนักเตะอย่าง ดิเอโก้ มาราโดน่า มีส่วนทำให้ ซูเคอร์ นั้นซัดประตูใน ลา ลีกา ซีซั่น 1992-93 ได้ถึง 13 ประตู ทั้งที่ฤดูกาลแรกของเขาที่สเปน ตอนที่ยังไม่มี “เสือเตี้ย” ย้ายมาร่วมทีม เจ้าตัวยิงไปแค่ 6 ลูกในลีกเท่านั้นเอง

ซูเคอร์ ซัดไปถึง 24 ประตูใน ลา ลีกา สเปน ฤดูกาล 1993-94 เป็นรอดาวซัลโวของลีกอย่าง โรมาริโอ ที่ซัดให้ บาร์เซโลน่า ได้ 30 ลูกคนเดียวเท่านั้นเอง ซีซั่น 1993-94 จนถึง 1995-96 ตำนานดาวยิงอีซ้ายทีมชาติโครเอเชียสามารถยิงให้ เซบีย่า รวมทุกรายการไม่เคยน้อยกว่า 20 ประตูในหนึ่งฤดูกาล

บวกกับผลงานกับทีมชาติในช่วงนั้นก็ไม่ธรรมดา ซูเคอร์ คือดาวซัลโวของศึกยูโร 1996 รอบคัดเลือก ด้วยการยิงไปถึง 12 ลูกจาก 10 เกม และยิงได้อีก 3 ลูกในรอบสุดท้ายที่อังกฤษ ช่วยให้โครเอเชียผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีม

ถึงตรงนี้ต้องยอมรับว่า ดาวอร์ ซูเคอร์ กลายเป็นหัวหอกตัวท็อปของยุโรปอย่างเต็มตัวไปแล้ว และนั่นทำให้ทีมยักษ์ใหญ่ของสเปนอย่าง เรอัล มาดริด ให้ความสนใจในตัวของดาวยิงคนนี้

แล้วก็ได้ร่วมทัพ “ราชัณชุดขาว” เรอัล มาดริด ในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ในช่วงซัมเมอร์ปีนั้น ในฤดูกาลแรกของดาวยิงชาวโครแอดกับมาดริด ถือเป็นฤดูกาลที่เขาทำผลงานระดับสโมสรได้ดีที่สุดในอาชีพค้าแข้งของเขาเอง

ดาวอร์ ซูเคอร์ เป็นดาวซัลโวสูงสุดของทัพราชัณชุดขาว

ซูเคอร์แมน

จากการยิงไป 29 ประตูในทุกรายการ โดย 24 ประตูใน ลา ลีกา นั้นช่วยให้ เรอัล มาดริด กลับมาคว้าแชมป์ลีกได้อย่างเต็มภาคภูมิ หลังผ่านฤดูกาลที่ล้มเหลวแค่เพียงปีเดียวเท่านั้น

และในฤดูกาล 1997-98 เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่คุมทีมโดย จุ๊ปป์ ไฮย์เกส กุนซือชาวเยอรมัน ทำให้ซูเคอร์นั้นใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปี ได้ทั้งแชมป์ลีก และแชมป์ยุโรปกับทีมแห่งแคว้นกาลาคติกอส

แต่สถิติการทำประตูของ ซูเคอร์ ในฤดูกาลที่ 2 กับ มาดริด กลับลดลงเหลือเพียง 15 ลูกรวมทุกถ้วยทุกรายการ จากการที่เริ่มกลายเป็นตัวสำรอง หลังเข้าการมาของศูนย์หน้าดาวรุ่ง เฟร์นานโด มอริเอนเตส จาก เรอัล ซาราโกซ่า เพื่อเสริมกองหน้าอีกรายในถิ่นเบร์นาเบวตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ปี 1997

ซูเคอร์แมน กับที่สุดในผลงานที่สร้างประวัติศาสตร์กับทีมชาติในฟร้องซ์ 98

แต่ถ้าถามว่าแฟนบอลในยุคนั้น จะจดจำผลงานของซูเคอร์ในช่วงไหนได้ดีที่สุด และทุกคนจะจำได้ดีว่ามันคือรายการที่ซูเคอร์คว้าดาวซัลโว และพาโครเอเชียที่เพิ่งผ่านเข้ารอบสุดท้ายบอลโลกได้เป็นครั้งแรก แต่ได้คว้าอันดับ 3 ไปครองแบบน่าประทับใจ

ซูเคอร์แมน

ในทัวร์นาเม้นท์นั้น ดาวอร์ ซูเคอร์ ทำได้ถึง 6 ประตูในทัวร์นาเมนต์ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ ซึ่งนอกจากเกมรอบแบ่งกลุ่มที่แพ้  “ทัพฟ้าขาว” อาร์เจนตินา 1-0 แล้ว อีก 6 เกมที่เหลือเขามีชื่อบนสกอร์บอร์ดทุกนัด ไม่ว่าจะพบกับ “เร้กเก้บอย” จาเมกา ยิงประตูโทนดับฝัน “ทัพซามูไร” ญี่ปุ่น ปราบผีดิบ โรมาเนีย โค้นทัพอินทรีย์เหล็ก เยอรมนี ยิงประตูขึ้นนำเจ้าภาพทัพ “ตราไก่” ฝรั่งเศส และซัดประตูในนัดชิงที่ 3 เหนือ “อัศวินสีส้ม” ฮอลแลนด์ พาทัพตราหมากรุกคว้าที่ 3 และพ่วงด้วยตำแหน่งดาวซัลโวของเขาไปได้อย่างสวบงาม

หลังจากจบฟุตบอลโลกฟร้องซ์98 ในปี 1999 ดาวอร์ ซูเคอร์ ในวัย 31 ปีได้ย้ายไปเล่นในอังกฤษกับ “ทัพปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ด้วยค่าตัวเพียง 3.5 ล้านปอนด์ และก็ไม่สามารถโชว์ฟอร์มในพรีเมียร์ลีกอังกฤษได้เปรี้ยงปร้างมากนัก ก่อนจะโดนปล่อยตัวให้ เวสต์แฮม แบบฟรีๆ ในช่วงซัมเมอร์ปีสองพัน

หลังจากไปเล่นกับทัพขุนค้อน ซูเคอร์ก็ยังเรียกฟอร์มสมัยพีคๆ กลับมาไม่สำเร็จ สาเหตุหลักเป็นเพราะมีอาการบาดเจ็บรบกวนอย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายในปี 2001 เขาก็ย้ายไปซบ 1860 มิวนิค แบบไม่มีค่าตัว โดยที่ตอนนั้นยังเล่นอยู่ในบุนเดสลีกา เยอรมัน

แต่ด้วยปัญหาบาดเจ็บเรื้อรัง บวกกับอายุที่มากแล้วในตอนนั้น ทำให้เขายิงให้ 1860 มิวนิค ในเกมลีกไปได้แค่ 5 ประตูจากการลงสนาม 25 นัด ก่อนที่จะประกาศแขวนสตั๊ดไปในปี 2003 ด้วยวัย 35 ปี

แม้ความสำเร็จระดับสโมสรของเขานั้นจะมีไม่มากเท่าไหร่ ส่วนผลงานการรับใช้ทีมชาติ ก็ยังไม่ได้มีแชมป์รายการใดติดตัว แต่ ดาวอร์ ซูเคอร์ นั้นก็สามารถมองย้อนเส้นทางค้าแข้งของเขาได้ใน บทความกีฬาที่น่าสนใจ แล้ว

ปัจจุบัน ดาวอร์ ซูเคอร์ ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมฟุตบอลของโครเอเชีย นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า เขาก็คือบุคคลที่สำคัญมากสำหรับวงการฟุตบอลของประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรแค่ราวๆ 4 ล้านคน แต่ยิ่งใหญ่ด้วยผลงานของทีมชาติที่ทำให้ทั้งโลกต้องประจักษ์

แคง เดอะ คองเคอเรอร์

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top